Dark mode

ถึงเวลาหาโทนให้แบรนด์ : แจกเช็คลิสต์สร้างโทนแบรนด์ให้คงที่ ไม่มีเพี้ยน

TH-Finding-Your-Brand-Voice--A-Clear-Checklist-For-Consistent-Messaging

Table of Contents

รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วเรื่องราวคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ เราหัวเราะกับตลกสามช่า เสียน้ำตาให้ดาวพระศุกร์ รอโทรศัพท์จากทนายเฉลยว่าจริง ๆ แล้วเราคือลูกหลานเศรษฐีมรดกพันล้านที่ถูกพลัดพรากจากตระกูล เพื่อค้นพบความจริงว่าตัวเองเกลียดเช้าวันจันทร์ มีแรงใจทำงานมูลค่ามหาศาล (aka หนี้) และพรุ่งนี้เรายังต้องทำงานต่อไป… นี่แหละ “การเล่าเรื่อง” มันคือการเชื่อมโยงทางอารมณ์ เปรียบเหมือนอีกหนึ่งภาษาที่เชื่อมโยงคนทั้งโลกให้เข้าอกเข้าใจกันตลอดมา

แต่รู้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้เรื่องพวกนี้เจ๋ง ? ใบ้ให้ว่าไม่ใช่พล็อต… แต่มันคือเอกลัษณ์ในน้ำเสียงของคนเล่าเรื่องต่างหาก น้ำเสียงที่สม่ำเสมอ น้ำเสียงที่ไว้ใจได้ว่าสุดท้ายแล้วคุณชายใหญ่จะได้รู้ความจริงว่าเราคือทายาทของตระกูล

แล้ว… ไอ้พวกหนังอมตะในความทรงนี้พวกนี้มันมาเกี่ยวกับธุรกิจของคุณยังไงบ้างล่ะ? 

บอกเลยว่าเกี่ยวทั้งหมด

เราจะมาดูในบล็อกนี้กันทีละส่วนว่าทำไมการใช้โทนเสียง (Tone of voice) ในการเล่าเรื่อง (Storytelling) ถึงกลายเป็นเบื้องหลังสำคัญในการเล่าเรื่องให้กับแบรนด์ของคุณ

พอจะอยากรู้ขึ้นบ้างไหม? อย่ารอช้า ลากเก้าอี้เข้ามาอ่านบล็อกนี้เลย

ทำไมการมีโทนเสียงที่ชัดเจนถึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนของแบรนด์?

คุณสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างไรบ้างนะ? คุณเป็นคนที่เฟรนด์ลี่ มองโลกในแง่ดี หรือเป็นคนขี้เล่นที่ชอบเล่นมุกเสียดสี? ทุกสิ่งที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม ๆ แต่น้ำเสียงที่ว่ามาพวกนี้จะเป็นตัวเลือกให้กับทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดของแบรนด์คุณได้ทีเดียวเชียวนะ 

เรามาดูแบรนด์น้องใหม่ในไทยอย่าง Karun (การัน) ที่แม้จะมีอายุเปิดตัวไม่ถึง 10 ปี แต่ก็ได้ความนิยมและรายได้อย่างล้นหลาม สิ่งที่แบรนด์นี้ทำคือการยกระดับเครื่องดื่ม “ชาไทย” ให้พรีเมียมขึ้น ปิดจุด Pain Point กับรสชาติที่ไม่คงที่ของชาไทยด้วยมาตรฐานรสชาติ ทำให้ลูกค้าที่ซื้อไม่ได้เพียงแค่ซื้อเครื่องดื่มชาไทย แต่ซื้อความมั่นใจว่าจะได้ดื่มชาไทยในรสชาติที่ต้องการ ในรูปแบบที่พรีเมียมกว่าทั่วไปนั่นเอง

โอเค… เรารู้ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจนักล่าฝันที่มีเวลาวิ่งไล่หลังอยู่ เราก็เคยอยู่ในสถานการณ์นี้เหมือนกัน เพราะงั้นเราเลยจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังแบบประชับที่สุดก็แล้วกัน 

มาดู 3 เหตุผลหลัก ๆ กันว่าทำไมแบรนด์ของคุณถึงต้องมีโทนสื่อสาร : 

ทำให้แบรนด์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

ทั้ง ๆ ที่คนเราล้วนก็มองหาแบรนด์ที่ทำให้รู้สึกเป็นกันเอง เชื่อมโยงกัน และคล้อยตามไปกับสิ่งที่สื่อสารได้แท้ ๆ แล้วทำไมธุรกิจมากมายถึงเลือกที่จะซ่อนความเป็นตัวเองไว้ภายใต้น้ำเสียงที่ไม่แสดงอะไรออกมาเลยอย่าง ‘น้ำเสียงโปรเฟชชันนอล’ ด้วยนะ? น้ำเสียงแบบนี้ไม่ได้สร้างความเชื่อใจกับคนที่ติดตามเลย น้ำเสียงแบบนี้มีแต่จะสร้างกำแพงกับผู้ติดตามเสียเปล่า ในทางกลับกัน น้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้จะเป็นน้ำเสียงที่ตัดเสียงเล็กเสียงน้อยที่รบกวนออกไป คอยสร้างคอนเนคชั่น และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้รับข้อมูลได้อย่างแท้จริงออกมาต่างหาก

ทำให้แบรนด์โดดเด่นมากขึ้น

ศัพท์เทคนิคทางธุรกิจเป็นอะไรที่น่าเบื่อ (ถึงแม้เราจะเข้าใจว่ามันเป็นอะไรที่จำเป็นก็ตาม) แต่สไตล์การเขียนที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่ใช่แบบนั้น เพราะ ณ ขณะที่เราอ่านบล็อกแล้วมองเห็นคาแรคเตอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีในบล็อก สิ่งเหล่านี้จะดึงความสนใจและทำให้เราอยากปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์นั้นมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว

สร้างความเชื่อและความสม่ำเสมอ

มีเหตุผลที่ความเชื่อมั่นสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งได้ เพราะความเชื่อมั่นนั้นสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ ซึ่งสายสัมพันธ์และความสม่ำเสมอที่ว่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญกับแบรนด์ของคุณมาก ๆ ดูอย่างแบรนด์ใหญ่ตลอดกาลแบบ Coca-Cola แบรนด์นี้เขาไม่ได้ขายเพียงแค่เครื่องดื่ม แต่เขายังขายความสุข โดยที่ตัวคอนเซ็ปต์ของแบรนด์นั้นก็โคจรไปรอบ ๆ แนวคิดของความสุขและการใช้เวลาร่วมกัน ในขณะที่คู่ปรับตลอดกาลอย่าง Pepsi ที่มีโทนเสียงของแบรนด์เป็นความเยาว์วัย เอเนอร์จี้วัยรุ่น และตัวเลือกเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่… อ้าว ถ้างั้นทั้งสองแบรนด์นี้มีอะไรเหมือนกันบ้างล่ะ? ก็ตอบตรงนี้เลยว่าไม่มี และสิ่งนี้แหละคือใจความสำคัญของความเปรี้ยงปร้างระหว่างสองแบรนด์นี้เลย

คู่มือการสร้างเสียงให้กับแบรนด์ของคุณ

รู้ทฤษฎีกันมาเยอะแล้ว ถึงเวลานำมาปฏิบัติจริงกับแบรนด์ของเราซะหน่อย ลองตามหาโทนเสียงให้กับแบรนด์ผ่านคำถามว่า เราเป็นใคร และ เราเขียนให้ใคร เมื่อตอบคำถามตัวเองได้แล้วก็จะสามารถปรับจูนน้ำเสียงเหล่านั้นให้เป็นโทนเสียงที่ชัดเจนและสม่ำเสมอสำหรับแบรนด์ของเรามากยิ่งขึ้น

เริ่มต้นที่ หน้าที่หลัก (Mission) และ ค่านิยม (Values)

ก่อนจะเริ่มเขียนซักประโยคนึง ลองย้อนกลับไปที่คำถามว่า ‘ทำไม’ ดูก่อน เพราะว่าหน้าที่และคุณค่าหลักที่แบรนด์ของคุณยึดถือจะเปรียบเหมือนกับเข็มทิศนำวิธีการสื่อสาร โทนอารมณ์ หรือกระทั่งคำศัพท์ที่เลือกใช้ให้กับแบรนด์ของคุณ

รู้พื้นที่ของตัวเอง

โทนเสียงของเราจะเวิร์คก็ต่อเมื่อมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงย้ำนักย้ำหนาเรื่องของการรู้จักกลุ่มคนที่เราอยากจะสื่อสารด้วย เราจะอยากทำแบรนด์ที่มีน้ำเสียงเป็นมืออาชีพไปทำไมในเมื่อกลุ่มเป้าหมายของเราชอบเล่นกับแบรนด์ที่มีน้ำเสียงขี้เล่นและเป็นกันเองมากกว่า? สิ่งเหล่านี้มันก็เปรียบเหมือนกับการไปคอนเสิร์ต BLACKPINK แล้วเราแต่งตัวสีเขียวนีออนทั้งตัวไปแบบไม่ดูเดรสโค้ดเขานี่แหละ มันชัดเจนเลยว่าคุณตีความปัจจัยเหล่านี้ผิดไป เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้น้ำเสียงของแบรนด์คู่แข่งเพื่อหาที่ให้กับแบรนด์ของตัวเอง เป้าหมายสูงสุดในที่นี้ก็คือการพลิกเกมกลับมาทำให้แบรนด์ของคุณกลายเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นจนยากเกินว่าจะเพิกเฉยได้นั่นเอง

กำหนดบุคลิกให้แบรนด์ของคุณ

เคยเจอใครที่รู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบไหม? บางทีใครคนนั้นอาจจะดูดุไป หรือบางทีเราอาจจะเป็นคนที่ขี้อายเกินไปรึเปล่า? นี่แหละคือสถานการณ์ที่แบรนด์ของคุณจะต้อง “แรกพบ” กับคนทั่วไปในทุก ๆ วัน คำถามไม่ใช่ว่าตัวแบรนด์ของคุณมีนิสัยใจคอไหม แต่คำถามจริง ๆ ก็คือ นิสัยใจคอที่แบรนด์ของคุณมีคืออะไรต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้ว คุณมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้มั่นใจได้ว่านิสัยของแบรนด์ที่ปรากฏนั้นมีความสม่ำเสมออยู่ตลอด? คุณต้องสร้างหนังสือเก็บรวมบุคลิกของแบรนด์ขึ้นมาอย่างจริงจัง หนังสือที่จะช่วยให้คุณระบุได้ชัดเจนว่าคำไหนที่ควรใช้ ศัพท์เฉพาะไหนที่เหมาะสม รวมไปจนถึงโทนที่เข้ากันกับสถานการณ์ต่าง ๆ 

น้ำเสียงที่เหมือนเดิมสม่ำเสมอแม้อยู่คนละแพลตฟอร์ม

สิ่งนี้จะเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เพราะเมื่อผู้เข้าชมของคุณได้อ่านโพสต์แบรนด์จากบนเว็บไซต์ ช่องทางโซเชียลมีเดีย และอีเมล์ ก่อนจะค้นพบว่าแบรนด์ของคุณมีโทนน้ำเสียงเหมือนกันเปี๊ยบ สิ่งนี้มันจะช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ร่วมระหว่างแพลตฟอร์มและทำให้แบรนด์ของคุณเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างน่าทึ่งไปเลย… ใช่มั้ยล่ะ?

TH-Your-Brand-Messaging-Guide-(Checklist) (1)

คู่มือสร้างวิธีการสื่อสารให้แบรนด์ของคุณ (Checklist of Brand Messaging)

คนจะมองแบรนด์เราอย่างไร เชื่อว่าน้ำเสียงและโทนเสียงที่แบรนด์เราสื่อสารออกไปเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะเมื่อคุณ “เช็คเรทติ้ง” คุณก็จะเลือกหยิบคอนเทนท์ที่ตรงใจกับกลุ่มคนเสพ เลือกภาษาที่คนเหล่านั้นใช้ ไปจนถึงเลือกศัพท์แสลงที่ยึดโยงกับคนกลุ่มนั้น… แล้วทำไมอะไรแบบนี้มันถึงสำคัญล่ะ? บอกเลยว่าทุกอย่างที่เกริ่นมานี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสร้างประโยคเด็ดความหมายโดนในการสื่อสารได้ยังไงล่ะ

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากจะเริ่มสร้างโทนและน้ำเสียงให้กับแบรนด์อย่างจริงจัง เราได้รวมเช็คลิสต์คู่มือการสร้างน้ำเสียงและโทนแบรนด์สำหรับสื่อสารมาไว้แบบครบ จบ ในบล็อกนี้แล้ว ไหน ๆ ก็จะปี 2026 แล้ว เราได้เรียนรู้จุดตายแล้วว่าอย่าให้น้ำเสียงของแบรนด์เป็นน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าคุณถามเราว่าน้ำเสียงพวกนี้้เป็นยังไงนั้น เราตอบได้คำเดียวว่าไม่เวิร์คอย่างแรง

มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

  • กำหนดหน้าที่และคุณค่า : น้ำเสียงของแบรนด์คุณ นำเสนอสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญรึเปล่า
  • ระบุกลุ่มเป้าหมาย : วิธีที่อยากสื่อสารขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่อยากจะสื่อสารด้วย แบรนด์ของคุณอยากสื่อสารกับองค์กรธุรกิจ (B2B) หรือสื่อสารกับผู้บริโภคทั่วไป (B2C)? ปัจจัยเพิ่มเติมอย่างอายุ ภูมิภาครวมถึงวัฒนธรรมนั้นจะกำหนดแนวทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้เป็นอย่างมาก
  • กำหนดบุคลิกให้ชัดเจน : คุณเป็นคนขี้เล่น? มีอำนาจ? เชื่อถือได้? หรือชอบความท้าทาย?
  • เลือกคลังคำศัพท์และโทนเสียงที่อยากใช้ : ตัดสินใจว่าจะเลือกคำศัพท์แบบไหน คำศัพท์แบบไหนที่จะไม่เลือกใช้ และน้ำเสียงของคุณจะเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร
  • สร้างคู่มือแนวทางการใช้ : สร้างตัวอย่างที่ชัดเจนขึ้นมาเพื่อบันทึกน้ำเสียงและโทนเสียงของแบรนด์เก็บไว้
  • เทรนคนในทีม : ทำให้แน่ใจว่าทุกคนในทีมของเรารู้การใช้โทนเสียงให้ตรงกับคาแรคเตอร์แบรนด์ในวิธีการสื่อสารและทุกแพลตฟอร์ม
  • คอยรีวิวอยู่สม่ำเสมอ : รีวิวและอัพเดตโทนเสียงของแบรนด์ไปควบคู่กับการเติบโตของแบรนด์

วิธีการสร้างและการใช้งานคู่มือการสร้างเสียงแบรนด์

ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนต่างก็ต้องการคู่มือการทำคอนเทนท์ไม่ต่างกับเป็น ‘คัมภีร์ประจำแบรนด์’ ที่ช่วยให้ข้อความของคุณคงที่อยู่ตลอดเวลา

เรารู้ว่าการทำอะไรแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการเพิ่มงานให้กับคุณ แต่ลองนึกถึงผลตอบแทนเจ๋ง ๆ ที่จะย้อนกลับมาหาดูสิ การกำหนดทุกอย่างให้ชัดเจนตั้งแต่บุคลิกของแบรนด์ การใช้คำเน้นย้ำกฎ และการยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่ควรทำ… อะไรพวกนี้มันจะช่วยลดเวลาการทำงานซ้ำซ้อนของคุณได้มากเลย 

และถ้าคุณเป็นตัวตั้งตัวตีในการจะทำอะไรพวกนี้แล้วล่ะก็ คุณก็อาจจะเป็นคนนั้นที่ได้งานช้างกลับไป (แต่เชื่อเถอะว่าคุ้มเหนื่อย!) คุณอาจจะเจออุปสรรคบ้าง แต่มันก็ทำให้งานของทีมคุณ (และงานคุณเอง) ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว

เพิ่งจ้างฟรีแลนซ์? ก็เนี่ย ยื่นคู่มือให้เขาไปเลย… ทำงานไม่ถูกและต้องการเอเจนซี่? คุณพร้อมส่งต่องานด้วยคู่มือเสมออยู่แล้ว แทนที่จะเสียแต่ละวันไปกับการอธิบายโทนเสียงของแบรนด์ซ้ำ ๆ แค่ยื่นคู่มือไปให้มันอธิบายเรื่องนี้แทนคุณเอง เท่านั้นคุณก็ยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว

TH-quote (3)

แล้วทีมเราคิดถึงเรื่องเสียงของแบรนด์อย่างไรบ้าง?

เชื่อว่าคุณคิดว่าพูดง่ายกว่าทำแน่ ๆ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ไม่ได้มีงบมากมายนัก ซึ่งเราเอาคำถามข้อนี้ไปถามกับ Shraddah หัวหน้าทีมคอนเทนท์ของเรา แล้วก็ได้คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างสุ้มเสียงของแบรนด์ให้เอกลักษณ์ผ่านมุมมองที่ว่า :

“น้ำเสียงของแบรนด์จะแสดงตัวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้เมื่อแบรนด์นั้น ๆ ยึดโยงตัวแบรนด์กับคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างแข็งแกร่งผ่านการให้ความสำคัญใน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การให้คุณค่าที่ชัดเจน จุดประสงค์ที่มีรากฐานแข็งแรง และจุดขาย (USP) ที่ได้รับการนิยาม เมื่อคุณรู้ว่าแบรนด์ต้องการอะไร เดี๋ยวอัตลักษณ์ของตัวแบรนด์ก็จะแสดงตัวออกมาโดยมีท่าทางและน้ำเสียงคู่กันให้คุณเห็นเอง ในทางกลับกัน แบรนด์ที่เริ่มต้นด้วยประโยคว่า ‘แค่อยากจะ…’ ก็มักจะประสบปัญหาในการหาตัวตนให้กับแบรนด์ ด้วยเหตุผลนี้เลยเป็นเรื่องสำคัญว่าทำไมต้องทำให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น”

เธอยังให้ความเห็นเรื่อง การเป็นตัวของตัวเอง vs การตามเทรนด์ อีกว่า :

“คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่ว่าโทนเสียงของแบรนด์นั้นเป็นเอกลักษณ์ให้กับคุณค่าของแบรนด์ได้ไม่แพ้ตัวโลโก้แบรนด์เลยนะ แบรนด์ที่มีน้ำเสียงที่มั่นคงจะไม่หวั่นไหวกับกระแสที่มาไวไปเร็ว โทนเสียงเหล่านี้จะได้รับการออกแบบที่สามารถปรับตัวไปกับกระแสโซเชียลมีเดียได้ผ่านมุมมองของคาแรคเตอร์ของแบรนด์อีกทีนึงด้วย”

ตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกว่า การตามหาน้ำเสียงให้กับแบรนด์นั้นไม่ใช่งานเล่น ๆ เพราะว่ามันเป็นงานที่อาศัยการวางกลยุทธ์ ความตั้งใจ และการวางแผน เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะหาคำนิยามสุ่ม ๆ 3-4 คำมารวมกันแล้วเรียกว่านี่คือบุคลิกของแบรนด์ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อคิดจะหาโทนเสียงและบุคลิกให้กับแบรนด์แล้ว คุณต้องใช้เวลาและความพยายามในการปั้นบุคลิกที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ได้ 

พร้อมที่จะสร้างโทนให้แบรนด์ของคุณไปด้วยกันกับ Move Ahead Media แล้วหรือยัง?

การมีโทนเสียงของแบรนด์ที่แข็งแรงชัดเจน คือเคล็ดลับปั้นเรื่องเล่ามัดใจอย่างแรกที่ต้องมี สำหรับแบรนด์ที่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็น้องหมีเนยดาราสาวไง (น่าร้ากก) น้องหมีเนยคือตัวอย่างของแบรนด์ที่รู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ด้วยภาพลักษณ์มาสคอตและภาพลักษณ์บนโซเชียลมีเดียที่สอดคล้องข้ามแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือออฟไลน์ สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ภาพลักษณ์น่ารัก ขี้เล่น และซุกซนนี้ครองใจไม่ว่าจะเด็กเล็กวัยใส หรือมัมหมีน้องเนยวัยทำงาน ที่พร้อมจะสนับสนุนให้เธอเป็นดาวค้างฟ้าได้ทั่วบ้านทั่วเมืองเลยทีเดียว

และการสร้างโทนเสียงที่ดึงดูดผู้คนได้นั้นก็ไม่ใช่แค่การสร้างเพื่อเป็นเรื่องเล่าของแบรนด์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยยึดโยงแบรนด์ของเรากับผู้ติดตามได้จริง ๆ ซึ่งทีมงานของเราจะค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณและสิ่งที่ผู้ติดตามของคุณ อยากได้ยิน จริง ๆ และปรับปรุงจนกลายเป็นสไตล์ของแบรนด์ที่ทั้งจับต้องได้และได้ผลจริง ๆ

ต้องการคำแนะนำหรอ? ลองติดต่อ Move Ahead Media เลยสิ!

ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมใช่ไหม? ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราที่ Move Ahead Media เพื่อตรวจเว็บไซต์ฟรีตั้งแต่วันนี้ได้เลย! เพียงแค่กรอกฟอร์ม แล้วทีมงานของเราจะรีบติดต่อคุณกลับไปทันที

คำถามที่พบบ่อย

เสียง (Voice) ของแบรนด์แตกต่างจากลักษณะนิสัย (Personality) และโทน (Tone) ของแบรนด์อย่างไร?

ลักษณะนิสัย (Personality) คือ ตัวตนที่คุณเป็น มันคือกลุ่มก้อนนิสัยที่นิยามธุรกิจของคุณ ยกตัวอย่างเช่น มีอารมณ์ขัน ขี้เล่น และชอบความท้าทาย ซึ่งน้ำเสียง (Voice) ของแบรนด์จะเป็นสิ่งที่ใช้ถ่ายทอดลักษณะนิสัยที่ว่านี้ ส่วนโทน (Tone) นั้นคือมวลอารมณ์ที่คุณอยากใส่เข้าไปให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ เช่น โทนทางการแบบรายงานการประชุม หรือจะโทนดาราผู้ดีในงานสังคม ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้มั่นคงได้มากยิ่งขึ้น

3 ข้อผิดพลาดหลักที่เราเจอเป็นประจำ : หนึ่ง ก็อปปี้น้ำเสียงของคู่แข่งแทนที่จะสำรวจแล้วเอามาปรับหาน้ำเสียงของเราเอง สอง น้ำเสียงของคุณใน Instragram ไม่ได้ไปในทิศเทียงเดียวกันกับน้ำเสียงในอีเมล์ และ สาม สื่อสารในสิ่งที่ผู้ติดตามคาดหวังจากคุณไม่ได้ ซึ่งความผิดพลาดในแต่ละข้อนี้ล้วนแต่จะลดความน่าเชื่อถือในสาส์นที่แบรนด์ของคุณสื่อออกไป

จัดชั่วโมงการอบรมและสอนวิธีการสื่อสารโดยเฉพาะ สร้างคู่มือการใช้น้ำเสียงของแบรนด์ จัดเวิร์คช็อปที่เปิดโอกาสให้ทีมงานได้ลงมือปฏิบัติจริงและให้คำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งคุณได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการใช้คู่มือแบรนด์มากเท่าไหร่ ลูกทีมของคุณก็จะเข้าใจแนวทางของแบรนด์มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งความชัดเจนและแนวทางปฏิบัติเหล่านี้นี่แหละที่จะทำให้ทีมของคุณมีแนวทางที่สม่ำเสมอมั่นคงได้

Article by

น้ำฝนเป็น senior Thai writer ที่ MAM จบวรรณคดีอังกฤษจาก ม.เกษตรฯ และชอบกินทุกอย่างในแก้ว น้ำฝนชอบไถ X น้ำฝนดีใจที่ได้รู้จักทุกคน
Facebook
Twitter
LinkedIn
WhatsApp
Get Free Quote
Dark mode

Get Instant PDF Access

Do you want to stay in touch?