แลคตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร–
(ถ้าคุณร้องต่อได้จนจบท่อน… เราคือเพื่อนกัน)
แต่เดี๋ยวก่อน เพลงโฆษณานมถั่วเหลืองชื่อดังเป็น ‘เพลง’ ไม่ใช่โฆษณาบนโลกออนไลน์ แบบนี้แล้วมันเกี่ยวกันจริงเหรอ?
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงแต่ผลลัพธ์ที่โฆษณาชิ้นนี้ทำได้ คือทำให้คนฟังสามารถจำราคาและปริมาณของสินค้าได้ และตัวคุณในฐานะคนที่มีกำลังทรัพย์พร้อมซื้อก็จะจำนมถั่วเหลืองแบรนด์นี้ ราคานี้ และปริมาณนี้เพื่อซื้อให้ลูกให้หลานของคุณดื่มอย่างแน่นอน
ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ต้องการให้แบรนด์ของตัวเองเป็นที่จดจำ โฆษณาชิ้นนี้ก็นับได้ว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม
แต่ก่อนที่เราจะไปคุยว่า Online Media และ Offline Media เป็นอย่างไรนั้น มาทำความรู้จักกับหัวข้อหลักของเราอย่าง “กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)” และ “แคมเปญโฆษณาดิจิทัล (Digital Ad Campaign)” กันก่อน เพราะถ้าคุณเข้าใจสองเรื่องพื้นฐานอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เชื่อว่าคุณจะสามารถทำโฆษณาที่ตอบโจทย์ทางการตลาดได้อย่างแน่นอน
กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) คืออะไร?
กลุ่มเป้าหมาย หรือ Target Audience นั้น คือ กลุ่มคนที่มีความสนใจและพร้อมซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เราอยากให้เห็นตัวโฆษณาที่เราปล่อยออกไปตามกลยุทธ์ของ Digital Marketing Campaign นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น เราขายอุปกรณ์กีฬา กลุ่มเป้าหมายหลักที่เราอยากให้เห็นโฆษณาคือคนที่รักการออกกำลังกาย หรือเราขายอาหารคลีน กลุ่มเป้าหมายหลักของเราก็คือกลุ่มคนที่รักสุขภาพ เป็นต้น
เมื่อรู้จักกลุ่มเป้าหมายแล้ว มาที่คำถามต่อไปซึ่งก็คือ
แคมเปญโฆษณาดิจิทัล (Digital Ad Campaign) คืออะไร?
Digital Ad Campaign คือ แผนการตลาดดิจิทัลที่สร้างขึ้นเพื่อสื่อสารบนช่องทางดิจิทัลแต่ละช่องทางเพื่อตอบจุดประสงค์ทางการตลาดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น:
- การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
- การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)
- การสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า (Engagement)
- การสร้างโอกาสในการขาย (Leads)
- การเพิ่มยอดขาย (Sales)
ถ้าให้ยกตัวอย่างง่าย ๆ ขอให้ลองนึกถึงแคมเปญ “รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition” จากแบรนด์นันยางกับแคมเปญ Digital Marketing ที่จับเอา “หมูเด้ง” กระแสสุดไวรัลบน Social Media มาทำเป็น Digital Marketing Campaign ซึ่งทำให้แบรนด์ได้รับผลตอบรับเป็นยอดสั่งจอง 16,372 คู่ และนำยอดขายส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนั้นสนับสนุน “โครงการหมูเด้ง ชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและดูแลสวัสดิภาพเพื่อนสัตว์” เป็นมูลค่า 327,440 บาท และนี่เป็นเพียงมูลค่าของส่วนที่บริจาคเท่านั้น ไม่นับรวมจำนวนการมองเห็น จำนวนการมีส่วนร่วม (Engagement) ส่วนอื่นๆ ที่แบรนด์ได้จากแคมเปญในครั้งนี้
จะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้แคมเปญ “รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามนั้น มาจากกลยุทธ์แคมเปญที่จับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่ใช่ บนช่องทางที่ตอบโจทย์ โดยที่ไม่ทิ้งแก่นสารของกระแสหมูเด้งและตัวตนของแบรนด์นั่นเอง
การทำ Online Marketing Campaign ได้เปรียบกว่าการทำ Offline Marketing Campaign อย่างไร?
กลับมาที่ตัวอย่างเพลงนมถั่วเหลืองที่คนร้องได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้ามันดีอย่างที่เกริ่นมาจริง ทำไมถึงบอกว่า Online Marketing Campaign ได้เปรียบกว่า Offline Marketing Campaign กันล่ะ?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำเพลงที่ติดหูได้แบบเพลงนมถั่วเหลืองเพลงนั้น และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีงบประมาณในการทำแคมเปญโฆษณาออฟไลน์ในระดับนี้
สิ่งนี้จึงเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนว่า Online Marketing Campaign นั้นได้เปรียบเรื่อง ‘งบประมาณและโอกาส’ ยกตัวอย่างแคมเปญ “รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition” ที่ไม่ต้องใช้งบโฆษณาเยอะ อาศัยแค่กระแสไวรัลจากหมูเด้งและการใช้งบโฆษณาที่คุ้มค่าจากความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายและข้อมูลที่แม่นยำ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้โฆษณาชิ้นนั้นได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
เปรียบเทียบภาพให้เห็นกันง่าย ๆ ลองมองว่า Online Marketing กับ Offline Marketing เป็นเหมือนกับการยืนพูดใส่ไมค์และการพูดตัวต่อตัวกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ดูสิ
Offline Marketing เปรียบเหมือนกับว่าเรามีต้นทุนได้ขึ้นไปยืนบนเวทีใหญ่ เราได้พูดใส่ไมค์ที่มีเครื่องกระจายเสียงรอบตัว แต่เราได้ยืนพูดบนเวทีถูกงานไหม? คนเหล่านั้นจะสนใฟังเรามากน้อยแค่ไหน?
Online Marketing เปรียบเหมือนกับว่าเราได้ยืนคุยตัวต่อตัวกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่เราได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องลงทุนใหญ่โตไปยืนบนเวทีใหญ่ก็สามารถสื่อสารได้เหมือนกัน แต่กลุ่มคนเหล่านั้นที่สื่อสารด้วยจะเป็นคนที่สนใจเรื่องที่เราอยากพูดไหม?
พอจะเห็นภาพความแตกต่างของแคมเปญทั้งสองนี้แล้วใช่ไหม? และพอเราโฟกัสที่ Online Marketing เป็นหลักแล้ว เราก็จะเห็นชัดแล้วใช่ไหมว่าแคมเปญลักษณะนี้ได้เปรียบกว่า Offline Marketing อย่างไร และมีจุดไหนที่ต้องระวังกันบ้าง?
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ได้แม่นยำกว่า
ถึงแม้ว่าการทำ Offline Marketing Campaign จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวาง เปิดโอกาสการมองเห็นได้มาก ในมุมหนึ่งวิธีนี้ก็เหมือนกับการโยนก้อนหินลงในบ่อน้ำ Online Marketing Campaign จึงเปรียบเหมือนการสื่อสารกับคนกลุ่มหนึ่งโดยเจาะจง ซึ่งเราคัดเลือกคนกลุ่มนั้นด้วยข้อมูลลักษณะและพฤติกรรมของ Target Audience ไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุ ที่อยู่อาศัย เวลาที่ชอบดูโฆษณา คอนเทนท์ที่ชอบ ฯลฯ แถมคนกลุ่มนั้นก็มีความสนใจและตั้งใจซื้อของที่เราตั้งใจนำเสนอตั้งแต่ต้นอีกด้วย
ต้นทุนน้อยและยืดหยุ่นกว่า
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดของ Online Marketing Campaign คือ คุณสามารถเริ่มต้นยิงโฆษณาได้ด้วยงบประมาณที่น้อยกว่าและสร้างผลลัพธ์ที่ได้ผลกว่าเมื่อเทียบกับ Offline Marketing Campaign นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มงบประมาณหรือลดงบประมาณได้ตลอดแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ Offline Marketing Campaign ไม่สามารถทำได้
ประเมินและปรับปรุงผลลัพธ์ได้ตลอดเวลา
การทำ Online Marketing Campaign นั้นมีตัวชี้วัดมากมายและสามารถทราบผลลัพธ์ของแต่ละตัวชี้วัดได้จากเครื่องมือที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ยอดคลิก ยอดเข้าชม ยอด Engagement ยอดซื้อ ฯลฯ ทำให้คนยิงโฆษณาสามารถวัดผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อแคมเปญที่ดีขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้นเมื่อเราเปรียบเทียบ Online Marketing กับการยืนคุยกับกลุ่มคนที่สนใจตัวต่อตัวแล้ว การคุยในลักษณะนี้จะเอื้ออำนวยให้คนทำแคมเปญประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงได้ทันที เหมือนกับการถามคนที่เราคุยด้วยว่าโอเคไหม ชอบหรือไม่กับสิ่งที่เราเสนอไป เพื่อที่ว่าเราจะได้นำเสนอสิ่งที่อยากนำเสนอ และเขาเองก็จะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการนั่นเอง
ก่อนทำแคมเปญโฆษณาต้องรู้อะไรบ้าง?
แม้จะเปิดบทความนี้มาด้วยประเด็นการเลือกกลุ่มเป้าหมาย แต่เราต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่จะช่วยให้แคมเปญ Online Marketing ชิ้นหนึ่งเป็นรูปเป็นร่างนั้นมีมากกว่าหนึ่งอย่าง
มาทำความรู้จักจิ๊กซอว์ทุกชิ้นของการทำ Online Marketing Campaign กัน:
การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)
กลุ่ม Target Audience หรือ กลุ่มลูกค้า ที่ทางแบรนด์อยากสื่อสารทางการตลาดด้วยมากที่สุดจะเป็นผู้ที่ตอบโจทย์จุดประสงค์ที่ทางแบรนด์ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อของ เข้าชมเพจ กดไลค์เพจ ลงทะเบียน ฯลฯ โดยข้อมูลที่ใช้เพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายนั้นจะขึ้นอยู่กับกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลและเงื่อนไขการใช้ข้อมูลของแต่แพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ ความสนใจ ที่อยู่ และอื่น ๆ
คู่แข่ง (Competitors)
การมีคู่แข่งนั้นเป็นเรื่องปกติในโลกของการทำธุรกิจ โดยคู่แข่งนั้นสามารถเป็นธุรกิจที่ทำแคมเปญ Online Marketing ที่คุยกับกลุ่มคนเล็ก ๆ เหมือนคุณ พูดคล้ายคุณ มีลักษณะคล้ายคุณ อาจเป็นคนที่ขายสินค้า/บริการแบบเดียวกับคุณเป๊ะ หรือเป็นคนที่ขายสินค้า/บริการที่ให้ผลลัพธ์กับลูกค้าเหมือนกับคุณ สามารถดึงความสนใจของลูกค้าไปจากคุณก็ได้ การมีคู่แข่งจึงเป็นเหมือนปัจจัยสำคัญที่คนทำธุรกิจควรศึกษาไว้เพื่อให้เรียนรู้และปรับปรุงแบรนด์ สร้างความแตกต่างหรือสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่เสมอ
จุดเด่นสินค้าและที่มาที่ไปของแบรนด์
ก่อนพูดถึงเนื้อหาในหัวข้อนี้ เราจะขอถามคุณว่าสิ่งแรกที่คุณคิดถึงเมื่อพูดถึงแบรนด์ “โอ้กะจู๋” คืออะไร? หาก “ผักสด กรอบ สะอาด ส่งตรงจากฟาร์ม ปลูกด้วยความใส่ใจ” คือสิ่งแรกที่คุณนึกถึง นั่นก็หมายความว่า จุดเด่นสินค้า (USP) และเรื่องเล่าของแบรนด์ (Storytelling) ได้สื่อสารแบรนด์ให้เราจำในแบบที่แบรนด์อยากให้จำได้สำเร็จ ดังนั้น การหาจุดเด่นให้กับสินค้า/บริการที่เราอยากขายนั้น ก็เปรียบเหมือนกับการกลับมาสำรวจเป้าหมายและจุดประสงค์ในการผลิตสินค้าของตัวเอง เราทำด้วยจุดประสงค์อะไร และสิ่งนั้นทำให้เราโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขันได้อย่างไร ส่วน Storytelling ของแบรนด์ก็เป็นเหมือนส่วนที่ช่วยดันหลัง USP ของแบรนด์ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำในกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ก่อนจะจบหัวข้อนี้กันไป ขอฝากเคล็ดลับที่ “คุณจี๋” Senior Strategist ของทีม Campaign Delivery – PPC ของเราได้ย้ำไว้ว่า “กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) คือ รากฐานของทุกอย่างในการทำมาร์เก็ตติ้ง เพราะการเลือก Target Audience ที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถระบุได้ว่า:
- ต้องใช้แพลตฟอร์มอะไร
- คู่แข่งคือใคร
- ควรสร้าง Storytelling ของแบรนด์อย่างไร
- USP ของแบรนด์คืออะไร
เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเราต้องเริ่มที่อะไรกันก่อน?
แพลตฟอร์มสำหรับแคมเปญโฆษณาและความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์มมีอะไรบ้าง?
ถึงแม้ว่าเราจะเปรียบเทียบการทำ Online Marketing Campaign และ Offline Marketing Campaign กับการยืนคุยต่างที่กัน แต่จริง ๆ แล้ว Online Marketing Campaign นั้นก็มีแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันแยกย่อยออกไปอีก
การจะรู้ได้ว่าเราจะใช้เครื่องมือไหนในการสื่อสารออกไปนั้นก็ต้องเรียนรู้ก่อนว่ากลุ่ม Target Audience ของเราใช้เวลากับแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด และเมื่อรู้แล้วเราก็จะเลือกช่องทางการยิง Ads หรือเครื่องมือในการสื่อสารได้ตรงกับ Target Audience มากยิ่งขึ้น
แพลตฟอร์มที่ว่ามีดังนี้:
Google Ads
โฆษณานี้จะอยู่บนหน้าค้นหาของ Google เป็นหลัก โดยที่ตัวโฆษณาจะอยู่ในรูปแบบของข้อความ วิดีโอบน Youtube หรือโฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยส่วนมากแล้วคนใช้แพลตฟอร์มนี้จะใช้เพื่อตั้งใจค้นหาข้อมูลของสินค้า/บริการเป็นหลัก การทำโฆษณาในช่องทางนี้จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับลูกค้า สร้างยอด Lead และในบางรูปแบบก็สามารถสร้างยอดขายได้ทันที เช่น ร้านซ่อมรถ บริการฉุกเฉิน ฯลฯ
Meta Ads
เป็นโฆษณาที่อยู่ในพื้นที่ของทั้ง Facebook Instagram และ Messenger โดยตัวโฆษณาจะอยู่ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งภาพเดี่ยว ภาพอัลบั้ม Carousel คลิป Reels หรือ Stories ส่วนมากแล้วกลุ่มเป้าหมายที่ใช้แพลตฟอร์มนี้จะมีจุดประสงค์เสพความบันเทิงเท่านั้น อาจไม่ได้มีความตั้งใจซื้อเท่าไหร่นัก ดังนั้นโฆษณาที่ปรากฏบนหน้าแพลตฟอร์มเหล่านี้จึงมุ่งเน้นที่การสร้างยอด Engagement สร้างยอด Reach เพื่อเพิ่มการรับรู้ จากนั้นจึงค่อยกระตุ้นยอดขายในภายหลัง
TikTok Ads
เป็นโฆษณาที่อยู่ในพื้นที่บนแอปพลิเคชั่น TikTok และจะอยู่ในรูปแบบของคลิป Video สั้น ๆ เสียส่วนใหญ่ นอกจากนี้คอนเทนท์ใน TikTok เองก็มีลักษณะเป็นคลิปสั้น รับชมง่าย เพลิดเพลินใจ ทำให้ได้รับความนิยมและเกิดเทรนด์มากมายจากแอปพลิเคชันนี้ ดังนั้นการเลือกทำโฆษณาในแอปฯ นี้จึงเหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสร้างกระแสหรือนำเสนอสินค้าแบบวิดีโอที่น่าสนใจ เน้นไปที่การสร้างการรับรู้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยการเลือกกลุ่มเป้าหมายจะเจาะจงที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นผู้ใช้งานหลัก
LinkedIn Ads
เป็นโฆษณาบนแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเชิงอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเชิง B2B การสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร หรือบริการยิงโฆษณาให้กับบริษัทที่ต้องการสรรหาบุคลากรเป็นหลัก โดยสามารกำหนดกลุ่ม Target Audience ได้จากตำแหน่งงาน อุตสาหกรรม ทักษะงาน และอื่น ๆ
เรารู้จุดได้เปรียบของ Online Marketing Campaign แต่ละรูปแบบและความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์มกันไปแล้ว ถึงเวลาเรียนรู้วิธีการสร้างแคมเปญกัน
แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการสร้างแคมเปญ รู้หรือไม่ว่า :
“…ความสำเร็จ (ของการทำแคมเปญ) นั้นขึ้นอยู่กับการวาง Storytelling และคุณค่าของแบรนด์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ข้อด้อย และความต้องการของ Target Audience เช่น
แบรนด์ฟิตเนสแบรนด์หนึ่งตั้งเป้าหมายไปที่กลุ่มคนที่ชีวิตวุ่นวายกับการทำงานซึ่งให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ตำแหน่งที่ตั้ง และชั่วโมงเวลาที่ยืดหยุ่นได้
ในขณะที่แบรนด์เดียวกันก็ตั้งเป้าหมายไปที่เด็กกลุ่มเจน Z ที่ให้ความสำคัญกับความสนุก กลุ่มแวดวงเพื่อน และเทรนด์ (เช่น เวิร์คเอาท์เป็นกลุ่ม หรือ แชลเลนจ์ใน TikTok)
สุดท้ายแล้ว การให้ความสำคัญกับการเลือก Target Audience ในการวางกลยุทธ์จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเสียงบประมาณไปเปล่าๆ และมั่นใจว่าโฆษณาทุกชิ้น เรื่องเล่าทุกเรื่อง แคมเปญทุกอันนั้น จะล้อไปด้วยกันกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของเราให้ความสนใจ”
เรียกได้ว่า “คุณจี๋” Senior Strategist ของทีม Campaign Delivery – PPC (ท่านเดิม) ของเรา ปิดจบประเด็นนี้ได้เฉียบคมทีเดียว
วิธีสร้างแคมเปญโฆษณาดิจิทัลออนไลน์
หลังจากที่รู้จักส่วนประกอบ ความสำคัญ และความแตกต่างของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Online Marketing Campaign ไปกันแล้ว คราวนี้มาดูวิธีประกอบทุกสิ่งที่รู้มาให้ได้เป็นแคมเปญหนึ่ง (หรือมากกว่าหนึ่งแคมเปญ) เพื่อตอบโจทย์การตลาดที่แบรนด์ต้องการกันเลยดีกว่า
ระบุจุดประสงค์ที่ชัดเจนและวัดผลได้
หลาย ๆ ธุรกิจ (เชื่อว่าไม่ใช่คุณ) หลงทางและไม่รู้เสียงหัวใจตัวเองโดยการเลือกทำแคมเปญแบบหนึ่งทั้งที่จุดประสงค์ทางการตลาดคาดหวังอีกแบบหนึ่ง การตั้งจุดประสงค์ในการทำแคมเปญก็เหมือนกับการขอเลื่อนสถานะกับใครซักคน ถ้าความต้องการของเราชัดเจนเมื่อไหร่ สิ่งที่เราแสดงออกไปก็จะชัดเจน สิ่งที่ได้กลับมาก็จะสนองกับสิ่งที่คาดหวังไว้อย่างแน่นอน
ระบุและแบ่งกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกกลุ่มเป้าหมายนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำแคมเปญ เปรียบเสมือนกับการเลือกคนที่เราอยากจะคุยด้วย เพราะเมื่อคนที่มีความต้องการตรงกันพร้อมที่จะรับฟังเราแล้ว การนำเสนอสินค้า/บริการนั้นก็ย่อมง่ายและตอบโจทย์การตลาดได้อย่างราบรื่น เน้นการเก็บข้อมูลที่ต้องการสำหรับการระบุและแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ครบ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีเพื่อให้สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายได้ใกล้เคียงกับจุดประสงค์ของการตลาดมากที่สุด
ผลิตคอนเทนท์และกลยุทธ์ที่สื่อสารใจความสำคัญได้อย่างสร้างสรรค์
ถ้าให้เลือกระหว่างอ่านโฆษณาผ่านภาพโปสเตอร์ที่ผ่านการทำกราฟฟิกอย่างตั้งใจกับเพ่งดูภาพถ่ายสินค้าเบลอ ๆ ติดแฟลชพร้อมใส่ตัวอักษรผ่านแอปพลิเคชันอย่างไม่มีชั้นเชิง… คุณคงจะเลือกอ่านอันแรกมากกว่าใช่ไหม? การคิดคอนเทนท์และกลยุทธ์เพื่อสื่อสารสินค้าของคุณก็เช่นกัน ข้อมูล Content & Creative ในขั้นตอนนี้จึงเปรียบเหมือนลีลาที่คุณจะใช้เพื่อสื่อสารสิ่งที่คุณวางกลยุทธ์คิดวิเคราะห์มาอย่างมีชั้นเชิงเพื่อทำให้กลุ่ม Target Audience สนใจคุณนั่นเอง
คิดคำเชิญชวน (CTA) ให้จับใจ
คุณอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ตกม้าตาย” กันมาบ้างใช่ไหม? นั่นแหละ หากเราเขียน CTA ที่ไม่ดี ไม่ชัดเจน การดึงความสนใจ ครีเอทีฟ การเล่าเรื่อง และทุก ๆ อย่างของแบรนด์ที่ทำมาก็สามารถตกม้าตายได้ถ้าข้อความปิดการขายไม่สามารถกระตุ้นลูกค้าให้ทำตามจุดประสงค์ได้อย่างที่ต้องการ การเขียนคำเชิญชวน หรือ Call to Action (CTA) จึงไม่ใช่แค่การเขียนดี ชัดเจน แต่หมายถึงความครีเอทีฟที่สามารถกระตุ้นคนอ่านโดยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือโดนยัดเยียดจนเกินไปนั่นเอง
เลือกช่องทางที่อยากลงโฆษณา
หากคุณไม่อยากให้ทุกข้อที่พูดถึงข้างต้นสูญเปล่า อย่าลืมข้อนี้เป็นอันขาด เพราะช่องทางและแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหมือนกับการจับคู่จิ๊กซอว์ต่าง ๆ ให้ลงล็อกกัน ด้วยความแตกต่างของช่องทางไม่ใช่แค่ความแตกต่างของขนาดไฟล์ ภาพนิ่ง วิดีโอ แต่หมายถึงความแตกต่างของพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์ม ช่วงวัย กลุ่มคนที่เข้าถึง และอื่น ๆ แน่นอนว่าคุณคงไม่อยากให้ทุกอย่างที่วางแผนมาสูญเปล่าด้วยการยิงโฆษณารูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อเด็กเจน Z ไปในแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่คือกลุ่มคนอายุ 50+ แน่ ๆ
จัดงบประมาณและตารางการลงโฆษณาที่เหมาะสม
คำว่า “งบ” พูดเบา ๆ ก็เจ็บ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าไม่พูดเลยเจ็บหนักแน่นอน การกำหนดงบประมาณเป็นเรื่องแรกและเรื่องสำคัญที่ทำให้แคมเปญ Online Marketing ได้รับความนิยม เช่นเดียวกันกับการจัดงบประมาณที่เหมาะสมให้แต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Google Ads, Meta Ads, TikTok Ads หรืออื่น ๆ คุณควรดูแลสิ่งเหล่านี้ให้ได้ผลและมั่นใจได้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราจะมองเห็นโฆษณาที่เราตั้งใจทำผ่านแพลตฟอร์มที่ใช่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เครื่องมือที่ใช้วัดผลลัพธ์
เหมือนกับทุก ๆ การทำงาน หรือกระทั่งการทำโครงการที่มีขั้นตอนการประเมินผล การทำ Online Digital Ads ก็เช่นกัน ซึ่งเครื่องมือสำหรับประเมินผลนั้นก็มีความแตกต่างออกไปตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น:
UTM Trackers
ใช้เพื่อติดตามและวัดผลลัพธ์ว่ามีใครเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์หรือเยี่ยมชมลิงค์ที่เราต้องการบ้าง
Web Pixel
ใช้เพื่อติดตามของ User หรือผู้เยี่ยมชม ที่เข้าเยี่ยมชมบนหน้าเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็น การคลิก การเพิ่มสินค้าลงตะกร้า การซื้อ ฯลฯ เหมาะกับการทำโฆษณา Remarketing ไปหากลุ่มที่เข้าชมเว็บไซต์เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
Tags
การทำงานคล้ายๆ กับ Web Pixel เครื่องมือตัวนี้จะช่วยตามพฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาทางเว็บไซต์ว่ามีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ช่วยให้เราสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ของตัวโฆษณาได้แม่นยำขึ้น
กรณีศึกษา: MAM ดูแลแคมเปญของคุณอย่างไรได้บ้าง?
หลังจากที่เล่า เท้าความ และเปรียบเปรยกันมาเยอะแล้ว คุณอาจจะสงสัยว่าเราเซียนตำรารึเปล่า แม่นแต่ทฤษฎีใช่มั้ย งั้นมาดูกรณีตัวอย่างกันดีกว่า
ปัญหาที่เจอ
เคสธุรกิจเกษตรกรรม พยายามทำ Digital Online Marketing ด้วยตัวเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- กลุ่มเป้าหมาย คือ ชาวนาในชนบท อายุ 50+ ปี
- ยิงโฆษณาในแคมเปญค้นหาเพียงแคมเปญเดียว (Search Campaign)
- ตั้งเวลาแสดงโฆษณาไว้ที่ 08:00 – 17:00 น.
ผลลัพธ์ที่ได้: ไม่ได้ยอดขาย ยอดผู้เข้าชมเป็นนักเรียนที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรกรรม ไม่มีกำลังซื้อและไม่มีความสนใจซื้อสินค้าเกษตรกร
MAM แก้ปัญหาอย่างไร
เรามาทำความเข้าใจปัญหาจากพฤติกรรมของกลุ่ม Target Audience กันก่อนว่าขัดแย้งอย่างไรบ้าง
เริ่มแรกเลย ชาวนาในชนบทที่มีอายุมากกว่า 50 ปีนั้นแน่นอนว่าจะมีปัญหาด้านสายตา ไม่ถนัดเพ่งตัวหนังสือ ชอบดูคลิป Youtube หรืออ่านตัวหนังสือใหญ่ ๆ มากกว่า ดังนั้นแคมเปญโฆษณาแบบการใช้ Search Engine เป็นหลักจึงไม่ใช่แคมเปญที่เหมาะอย่างแน่นอน ต่อมาก็เป็นเวลาของแคมเปญที่ไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ตื่นเช้านอนไวของเกษตรกร จึงทำให้โฆษณาถูกมองเห็นโดยคนกลุ่มอื่นแทนที่จะเป็นกลุ่มที่เราอยากให้เห็น
ด้วยปัญหาพวกนี้ เราเลยแนะนำวิธีแก้ไขไปว่า:
- ย้ายงบประมาณโฆษณาส่วนหลักไปที่โฆษณาบนยูทูป (Youtube Ads)
- ขยายเวลายิงโฆษณาเป็น 03:00 – 22:00 น.
- ใส่เลขเบอร์โทรติดต่อขนาดใหญ่ไว้ในวิดีโอโฆษณา
- เพิ่มแคมเปญ Demand Gen เพราะเป็นแคมเปญที่แสดงผลบน Youtube แพลตฟอร์มที่ชาวนาใช้งานเป็นประจำ โดยที่ยังคง Search Campaign ไว้ แต่ใช้งบประมาณในส่วนนี้น้อยลงเพราะในกลุ่มผู้สูงอายุบางคนนั้นก็มีลูกหลานที่คอยค้นคว้าข้อมูลผ่านการใช้ Search Engine เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงจัดวางงบประมาณในส่วนนี้ไว้บางส่วนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูล
ผลลัพธ์
เมื่อเราเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและผลกระทบที่มี ค้นหาจุดประสงค์ทางการตลาด และรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของเคสนี้จนนำมาสู่วิธีแก้ได้นั้น ทำให้ลูกค้าของเราสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่า 100 ยอดบนช่องทาง Google AdsOnline Marketing
เท่านี้ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่า กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากแค่ไหน มันเหมือนกับการติดกระดุมเสื้อที่หากคุณเริ่มต้นถูก ทุกอย่างก็จะถูกต้องและสอดคล้องกันไปหมด แต่ถ้าหากว่าคุณติดกระดุมผิดเม็ด สิ่งที่ตามมาอย่างประเภทของแคมเปญ ช่องทาง ครีเอทีฟ ฯลฯ ก็จะสะเปะสะปะกลับหัวกลับหางกันไปหมด และแค่คุณหันกลับมาใส่ใจและจริงใจกับจุดประสงค์ทางการตลาดและกลุ่ม Target Audience ที่ธุรกิจต้องการนั้น คุณก็จะสามารถพลิกผลลัพธ์ทางการตลาดได้จาก 0 เป็น 100 เลยทีเดียว
พร้อมทำแคมเปญโฆษณาแล้วหรือยัง?
หากอ่านมาจนถึงตรงนี้ เราเชื่อว่าคุณพอจะได้ไอเดียไปไม่มากก็น้อยแล้วล่ะว่าต้องเริ่มที่อะไรบ้าง คุณได้รู้จักแคมเปญแบบต่าง ๆ ความแตกต่างของโฆษณาแต่ละช่องทาง สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ ไปจนถึงเครื่องมือติดตามผล เมื่อรวมความรู้พวกนี้เข้ากับแคมเปญโฆษณาของ Social Mediaที่ดีแล้ว เชื่อว่าการยิงโฆษณาสินค้าจะไม่ใช่แค่สิ่งที่นักธุรกิจเจ้าใหญ่ทำได้อีกต่อไป
กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดที่ช่วยดูแลธุรกิจคุณอยู่ใช่ไหม?
ติดต่อทีม Move Ahead Media เพื่อประเมินเว็บไซต์ฟรีได้เลยวันนี้ เพียงแค่กรอกแบบฟอร์ม แล้วทีมงานของเราจะรีบติดต่อคุณกลับไปทันที
คำถามที่พบบ่อย
จะรู้ได้ไงว่ากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ใช้ช่องทางดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง (Digital Marketing)ช่องทางไหนเป็นหลัก?
A: สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งแบบใช้เครื่องมือและไม่ใช้เครื่องมือ ซึ่งวิธีการใช้เครื่องมือคือการใช้ Google Analytics (GA4), Meta Business Suite, TikTok Analytics, และอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบว่ายอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นช่วงอายุไหนและมาจากช่องทางไหนมากที่สุด ซึ่งข้อมูลดิบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ยอด Lead คุณภาพเหล่านี้ได้ว่าอายุช่วงไหน ใช้แพลตฟอร์มใดเป็นหลัก ส่วนวิธีที่ไม่ใช้เครื่องมือนั้น สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์คู่แข่งธุรกิจผ่านคอนเทนท์โฆษณาที่เผยแพร่หรือถามกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยให้เราได้ข้อมูลเพื่อการจำแนกวิเคราะห์ต่อก็ได้เช่นกัน
ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง (Digital Marketing) อันไหนที่ใช้งบเริ่มต้นน้อยสุด?
A: หากพูดถึงช่องทาง Digital Marketing ที่ใช้งบน้อยนั้นการทำคอนเทนท์ SEO แบบออร์แกนิก การทำ Organic Content บนโซเชียลมีเดีย และการทำมาร์เก็ตติ้งผ่านอีเมล์นั้น จะเป็นการทำการตลาดที่ใช้งบน้อยที่สุด แต่หากต้องการช่องทางที่ใช้งบน้อยและให้ผลลัพธ์ดี การทำการตลาดบนช่องทางโซเชียลมีเดีย จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรดูแลและปรับปรุงแคมเปญโฆษณาดิจิทัลออนไลน์ (Digital Marketing) บ่อยแค่ไหน?
A: คุณควรดูแลและปรับปรุงแคมเปญ “ทุกวัน” ในช่วง 1-2 อาทิตย์แรกของการทำโฆษณา เพื่อดูว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ผลมากหรือน้อยแค่ไหน ควรต้องแก้ไขอะไรบ้าง จนกระทั่งตัวโฆษณาเริ่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็ถึงค่อยเว้นระยะมากขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่าเมื่อตั้งทำโฆษณาและรันทิ้งไว้แล้ว อย่าปล่อยลืมเท่านั้นก็พอ